วิธีทำโฆษณา Facebook โคตรเทพ งบแค่ 100/วัน (ใครๆก็ทำได้)

วิธีทำโฆษณา Facebook ด้วยตัวเอง ทำกราฟฟิก Ads เอง ยิง Ads เองได้เลย ไม่ต้องใช้งบเยอะ สอนละเอียดแบบจับมือทำ อัพเดทล่าสุด !
หลายๆคนที่ทำโฆษณา Facebook อยู่ตอนนี้คงจะรู้สึกเหมือนๆกันนะครับว่าการทำโฆษณา Facebook ให้มันราคาถูกและสามารถทำกำไรได้เนี้ย มันยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่า Facebook ปรับเปลี่ยนระบบบ่อยครับ เอาไปเอามา ปรับราคาขึ้นไปด้วย หลายๆคนเซ็งไปตามๆกันครับ

ก่อนที่ผมจะมาเขียนบทความนี้ ผมเคยเขียนบทความที่คล้ายๆกันอยู่ในบล็อกของบริษัทของผมอยู่แล้ว แต่บทความนี้ผมตั้งใจเขียนเพื่อเอาใจคนติดตามบล็อก Growthbee โดยเฉพาะครับ

วันนี้เราจะมาเรียนรู้กันเกี่ยวกับกลไกลหลายๆอย่างที่ทำให้โฆษณา Facebook มันราคาแพงและการทำโฆษณายังไงให้มันราคาถูกแต่ได้ผลครับ ขอย้ำนะครับว่าได้ผล เพราะว่าถ้าทำโฆษณาไปแล้วราคาถูกแต่ไม่ได้ผล ไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไรครับผม

สำหรับคนที่ยังไม่คุ้นเคยกับผม และไม่มั่นใจว่าผมทำได้จริงเหมือนที่ผมแชร์ความรู้หรือเปล่า ผมเลยอยากจะเอาผลลัพท์ที่ลูกค้าผมได้มาให้ดูหน่อยนะครับ

ลูกค้าที่เป็น app มือถือรายใหญ่เจ้าหนึ่งครับผม เขาเคยทำได้ install ละประมาณ $9.02 แต่ผมมาช่วยเขาปรับ targeting และจัดการโฆษณาตัวโฆษณา ผลลัพท์ลงมาเหลือ $0.07 ต่อ install ครับ

อันนี้ต้องชมทางบริษัทเจ้าของ app เขาด้วย เพราะเขาให้ความร่วมมือดีมากครับ

ลูกค้าอีกคนเป็นศูนย์ช่วยเหลือน้องหมาถูกทอดทิ้งครับผม ผมบอกเลยนะครับว่าผลลัพท์แบบนี้มีน้อยมากครับ ไม่ใช่ว่าผมเก่งนะครับ แต่มันไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกๆธุรกิจครับ

ที่เขาได้ $0.006/page like นี้มันขึ้นอยู่กับชื่อเสียง + เรื่องราวของน้องหมาที่เขามีอยู่แล้วด้วยครับ ก่อนหน้านี้เขาได้อยู่ประมาณ $0.82/ page like ครับ แต่ผมมาช่วยเพิ่มเติม story ปรับเปลี่ยนตัวเจาะกลุ่มเป้าหมาย มันก็ดีขึ้นอย่างที่เห็นครับ

ที่ผมเอามาให้ดูไม่ได้อวดนะครับ แต่ผมคิดว่ามันมีคนอ้างว่าเป็นโค้ชที่รู้ดีเกี่ยวกับโฆษณา Facebook เยอะ แต่ทำไม่เป็นครับ ผมเลยไม่อยากจะให้เข้าใจผิด

ในเมื่อเข้าใจตรงกันแล้ว เรามาดูกันเลยดีกว่านะครับว่าคุณจะได้รับอะไรบ้างจากการอ่านบทความนี้

สิ่งที่จะได้เรียนรู้ในวันนี้

  • การทำโฆษณาให้ราคาถูก
  • กลไกลหลายๆอย่าง

เราไม่รีรออะไรกันแล้วนะครับ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ เพราะหลายๆคนคงอยากจะเอาเวลาไปหาโฆษณาเพื่อทำเงินมากกว่าครับ ฮ่าๆ

ก่อนอื่นเราจะมาพูดถึงกลไกลอะไรหลายๆอย่างที่ส่งผลให้กับราคาโฆษณาก่อนนะครับ เพราะว่าหลายๆคนมองข้ามตรงนี้ไปครับ

2 กลไกลหลักที่มีผลต่อราคาโฆษณา (ที่สุด)

เราต้องเข้าใจนะครับว่าตัวที่จะมีผลต่อโฆษณาจริงๆแล้ว มันจะมีอยู่แค่ 2 ตัวหลักจริงๆครับ นั้นก็คือ ตัวโฆษณา และ การเจาะกลุ่มเป้าหมายครับผม

มาพิจารณาดูกันนะครับว่ามันมีผลยังไง ลองนึกภาพตามนะครับว่าคุณกำลังเลื่อนดู Facebook ของคุณอยู่ แล้วไปเจอโฆษณาตัวหนึ่งเกี่ยวกับ “รถไถนา” แต่คุณไม่ได้มีนาหรือมีความสนใจที่จะทำนา คุณจะคลิกไหมครับ? คำตอบก็คือ “ไม่” ใช่ไหมครับ? 

มันบอกบ่งแล้วว่า เขาเจาะกลุ่มเป้าหมายไม่ถูก และถ้ามีคนเห็นโฆษณาเขาเยอะๆแล้วไม่คลิก จะเกิดอะไรขึ้นครับ? ค่าโฆษณาก็ต้องแพงขึ้นครับ เพราะ Facebook เขาก็อยากจะได้กำไรครับ เขาไม่ยอมให้โฆษณานั้นมีคนเห็นเยอะ แล้วเขาไม่ได้ตังหรอกครับ สิ่งที่เขาทำได้ก็คือการปรับราคาโฆษณาขึ้นครับ

แล้วลองมานึกตามอีกทีนะครับ สมมุติคุณเป็นคนที่ชอบการช็อปปิ้งมาก ซื้อเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ผ้าพันคอ อะไรสารพัดตลอด (คุณผู้หญิงฟังไว้นะครับ 555+) แล้วคุณมาเห็นโฆษณานี้

คุณจะคลิกไหมครับ? ผมดูแรกๆยังไม่รู้เลยว่าเป็นโฆษณาอะไร ต้องมาอ่านอีกทีเจอคำว่า “apparel” ถึงรู้ว่ามันเกี่ยวกับเสื้อผ้า

นอกจากราคาของโฆษณานี้จะแพงแล้ว ผมคิดว่าน่าจะไม่มีคนซื้อด้วยแหละครับ เพราะฉะนั้นเสียเงินไปเปล่าๆเลย

พอจะเข้าใจคร่าวๆแล้วนะครับว่ากลไกลมันเป็นยังไง วันนี้ผมจะมาพูดให้ละเอียดเกี่ยวกับทั้ง 2 ตัวนี้เลยครับ คนที่อ่านโพสนี้จะได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ครับ

อันดับแรกเรามาพูดถึงการทำเจาะกลุ่มเป้าหมายก่อนครับ หรือเรียกให้มันเป็นภาษาอังกฤษก็คือ “targeting” ครับผม

งบเริ่มต้นเท่าไหร่ดีถึงจะได้ผล?

ใครๆก็พูดได้นะครับว่าให้จัดสันงบน้อยๆไว้ก่อน แต่งบเท่าไหร่ล่ะครับที่จะน้อยแต่ได้ผลจริงๆครับ? เพราะว่าถ้าจะแค่ไปกดตั้งงบว่าจะเอาเท่าไหร่ ใครๆก็ทำเป็นครับ

งบขั้นต่ำตอนนี้ที่ Facebook ต้องการก็คือ 300 บาทแต่ผมคิดว่าถ้าอยากจะให้โฆษณาของคุณได้ผล 300 บาทยังน้อยเกินไปครับ

ผมแนะนำให้เตรียมไว้ประมาณ 3,000 บาทครับหรือประมาณ 99–100 บาท ต่อวัน เหตุผลที่ต้องตั้งงบสูงหน่อยก็เพราะว่า targeting ใน Facebook ส่วนใหญ่มันไม่ค่อยจะตรงเท่าไหร่ครับ ตอนแรกๆไม่ว่าคุณจะใส่ targeting (เจาะจงกลุ่มลูกค้า) ดีแค่ไหน คุณก็ยังจะเจอคนที่ไม่ค่อยสนใจสินค้าของคุณอยู่ดีครับ

วิธีแก้ปัญหาตรงนี้ก็คือต้องเตรียมเงินอย่างน้อยๆ 1,000 บาท เพื่อที่จะทดลองกลุ่มลูกค้าครับว่าผลตอบรับออกมาเป็นยังไง ถ้าดีแล้วค่อยใช้อีก 2,000 เพื่อเจาะจงคนกลุ่มที่เรามั่นใจว่าชอบสินค้าของคุณจริงๆครับ

ผมจะไม่เขียนเกี่ยวกับการทำในโพสนี้นะครับ เพราะฉะนั้นถ้าอยากรู้ให้แสดงความคิดเห็นไว้นะครับ ผมจะเขียนให้อ่านครับ

เรามาต่อกันที่ตัวต่อไปกันเลยครับ

ข้อแตกต่างระหว่างบูทโพส (post boosting) กับ โฆษณา (advertising)

หลายๆคนที่ทำโฆษณาใน Facebook อาจจะคิดว่า 2 ตัวนี้เหมือนกันนะครับแต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่ครับ

Facebook จะยิงโฆษณาบูทโพสกับโฆษณาที่ไม่ใช่บูสโพสให้กับคนที่แตกต่างกันครับ

โฆษณาแบบ “บูทโพส” หรือ “post boosting”

โฆษณาแบบนี้ Facebook จะยิงไปหาคนที่ Facebook รู้ว่าจะชอบกด “ไลค์” ครับผม เพราะฉะนั้นมันจะดีกับโฆษณาที่ต้องการให้คนเห็นเยอะๆ และมีคนไลค์ คอมเม้น แชร์เยอะๆครับ ไม่เหมาะกับการขายของ

เหมาะกับการใช้โปรโมตอะไรบ้าง?

สำหรับการใช้บูทโพสนี้จะไม่เหมาะกับการโปรโมทหลายๆอย่างนะครับ จะเหมาะจริงๆก็แค่ที่ผม list ไว้อย่างล่างนี้ครับ

  • บทความ
  • infograhpics
  • ข่าวทั้งหลาย

ไม่เหมาะกับการขายของครับ เพราะผมเคยลองทำดู conversion rate ต่ำสุดๆไปเลยครับ ฮ่าๆ

โฆษณาแบบไม่ใช่การ boost

คุณสามารถเลือกวัตถุประสงค์ในการโฆษณาได้หลายแบบครับ ไม่ว่าจะเป็น lead generation, app install, web traffic, video views และอีกหลายๆอย่างครับ

ถ้าใช้ตัวนี้ส่วนใหญ่จะได้ราคาที่ถูกกว่าการบูทโพสครับผม เพราะว่า Facebook จะช่วย optimize โฆษณาของคุณว่าควรจะให้ใครเห็นดี (ไม่ได้เจาะจงแต่คนที่จะกดไลค์)

สำหรับโฆษณาแบบนี้จะเหมาะกับการขายของครับผม แต่อย่างที่บอกไปว่าโฆษณาแบบนี้ถ้าอยากจะได้ไลค์ คอมเม้น แชร์ อันนี้ไม่เหมาะแน่นอนครับ


8 กฎเหล็กที่ต้องจำถ้าอยากให้โฆษณา “ราคาถูก”

จำไว้นะครับ ว่าการทำโฆษณาทุกๆครั้ง คุณต้องรู้ว่าอะไรควรจะทำและอะไรที่ควรจะหลีกเลี่ยงครับ

วันนี้คุณไม่ต้องไปหาที่ไหนแล้วครับ เพราะผม list มาให้เรียบร้อยแล้ว มาดูกันเลยดีกว่าครับ

  1. ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน — มันอาจจะเป็นอะไรที่ฟังดูง่ายๆนะครับแต่หลายๆคนพลาดตรงนี้ไปครับ คุณต้องชัดเจนก่อนที่คุณจะทำโฆษณาได้ครับว่าคุณต้องการอะไรจากเคมเปนนี้
  2. ตั้งเป้าหมายให้ถูกต้อง — หลังจากตั้งชัดเจนแล้วต้องตั้งให้ถูกด้วยครับ เช่น คุณต้องตั้งเป้าหมายให้เป็น sales หรือ leads ครับ ไม่ใช่แค่ให้มีคนเห็นหรือไลค์ เพราะมันเป็นอะไรที่ไม่จำเป็นครับ (vanity metrics)
  3. อย่าสร้างแค่โฆษณาเดียว — การทำโฆษณาทุกๆอย่างครับถ้าคุณไม่สร้างโฆษณามาหลายๆแบบเอามา A/B testing กัน คุณก็จะพลาดโอกาสหลายอย่างครับ เช่น รูปโฆษณาของคุณอาจจะยังไม่ดีพอแต่คุณไม่รู้เพราะว่าไม่ได้ทดลองดู เป็นต้นครับ
  4. อย่า A/B test ทุกๆอย่าง — หลายๆคนอ่านเรื่อง A/B testing มาแล้วอยากจะลองเปลี่ยนแปลงโฆษณาดูว่าอันไหนได้ผลดีหมด ผมบอกเลยนะครับว่าการทำแบบนี้ดีครับ เพราะจะทำให้คุณเข้าใจลูกค้ามากขึ้น แต่อย่าทำเยอะเกินไปครับ
  5. ตั้ง daily budget — ตั้ง daily budget ให้ไม่เกินวันละ 100 บาทครับ อย่าไปหวังแต่ Facebook จัดการงบให้โดยการใช้ lifetime budget ครับ
  6. อย่าไปคิดมากกับ placements — หลายๆคนที่ทำใหม่อาจจะกังวลและอยากที่จะเข้าใจทุกๆอย่างก็เลยเลือก ad placements มั่วๆและคิดว่าจะได้ผลดีที่สุด มันไม่ใช่นะครับ ในการทำโฆษณา ผมเคยบอกไปแล้วครับว่าต้องทดลองอย่างเดียวถึงจะรู้ อย่าเดาเอาครับ
  7. ต้องใช้ Facebook Pixel — ตัวนี้ผมพูดย้ำบ่อยมากครับไม่ว่าจะเป็นใน ebook ของผมหรือบล็อกผม โฆษณา Facebook pixel จะสำเร็จได้หรือเปล่าขึ้นอยู่กับข้อมูลฐานลูกค้าที่คุณสร้างครับ แล้ว Facebook pixel จะเป็นตัวที่ช่วยจำข้อมูลอะไรพวกนี้ทั้งหมดครับ
  8. ต้องใช้ Facebook Remarketing — อย่างที่ผมเคยบอกไปครับว่าโฆษณาหลายๆอย่างข้อเสียก็คือไม่ว่าเราจะยิงโฆษณาดียังไง มันก็ไปโดนคนที่ไม่ค่อยสนใจอยู่แล้วครับ เพราะฉะนั้นตัว Faebook remarketing ก็จะเป็นตัวเปลี่ยนครับ

ข้อควรจำ: 8 อย่างที่ผมพูดไปข้างบนนี้สำคัญมากๆนะครับ เพราะฉะนั้นอย่างจะให้อ่านและเข้าใจให้ดีเพื่อความสำเร็จของคุณเองครับ


สร้างโฆษณา Facebook ให้ถูกต้อง (step-by-step)

ก่อนอื่นที่จะเริ่มสร้างโฆษณากันได้ ผมอยากจะบอกก่อนนะครับว่าคุณต้องมี “แฟนเพจ” ก่อน ถ้าไม่อย่างนั้นต้องรีบไปทำก่อนเลยครับ

หลังจากนั้นเรามาดูกันครับว่าต้องทำยังไงถึงจะสร้างโฆษณา Facebook ได้ดี มาเริ่มกันเลยครับ

Step #1: เข้าไปที่ Ad manager ครับ แล้วจะเจอเพจหน้าตาแบบนี้ครับ แล้วก็คลิกปุ่มเนี้ยเพื่อสร้างโฆษณาเลยครับ

Step #2: เราจะมาที่หน้านี้ครับ Facebook จะถามว่าวัตถุประสงค์ของโฆษณาของคุณเป็นยังไง หรือ คุณต้องการอะไรจากโฆษณานี้นั้นเองครับ

ตอนแรกๆไม่ต้องไปสนแถว 1 กับ แถวที่ 3 ครับ สนแต่แถวตรงกลางก็พอ

สำหรับในการสาธิตนี้ผมจะเลือก “traffic” (คนเข้าเว็บ) นะครับผม

Step #3: เรามาเริ่มสร้างกลุ่มลูกค้าให้ถูกต้องกันครับ เพราะว่าโฆษณาของคุณจะรุ่งหรือจะร่วงส่วนใหญ่แล้วจะขึ้นอยู่กับการเจาะจงกลุ่มลูกค้า (audience targeting) ทั้งนั้นครับ

อันดับแรกเรามาดูตรงนี้กันครับ

  1. จังหวัดและพื้นที่ — คุณต้องทำการบ้านมาก่อนนะครับว่ากลุ่มลูกค้าของคุณคือใคร หรือถ้าไม่ได้ทำมาก็ไม่เป็นไรครับ ปล่อยให้เป็น “Thailand” ไปเลยครับ แล้วค่อยมาดูทีหลังว่าจังหวัดไหนให้ผลตอบรับดีที่สุด
  2. อายุ — อันนี้ไม่ต้องห่วงครับ ปล่อยให้ Facebook รันโฆษณาไปก่อนเลยครับ เราค่อยมาดูว่ากลุ่มไหนได้ผลดีที่สุดแล้วค่อยเปลี่ยนทีหลัง กฎของการทำโฆษณาคืออย่าคิดไปเองครับ ให้ข้อมูลและตัวเลขเป็นคนบอกดีกว่า
  3. เพศ — เหมือนกับอายุครับอย่าไปเดาว่าเพศหญิงหรือชายใครจะสนใจโฆษณาคุณมากกว่ากัน ผมเคยเจอสินค้าบางตัวอย่างแหวนงี้อะครับ คิดว่าจะไม่มีผู้ชายซื้อแต่ก็มีเยอะจนน่าตกใจเลยครับ
  4. ภาษา — อันนี้ก็เหมือนกันครับ อย่าไปห่วงเพราะเราไม่รู้ครับว่ากลุ่มลูกค้าของเราตั้ง Facebook ให้เป็นภาษาอะไร นอกจากคุณจะ target คนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย อันนั้นก็ว่ากันอีกทีหนึ่ง

หลังจากที่ทำข้างบนไปแล้ว เรามาดูพระเอกสำคัญของเราเลยดีกว่าครับ นั้นก็คือการเจาะจงกลุ่มลูกค้า (detailed targeting) ครับ

ผมจะมาแนะนำการทำนิดหน่อยนะครับให้คุณสามารถเอาไปทำเองได้เลยหลังจากที่อ่านเสร็จแล้ว

ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจว่าการเจาะจง “ความสนใจ” (interest) ใน Facebook มันไม่ตรงนะครับ เพราะฉะนั้นคุณไม่สามารถที่จะใช้กลยุทธิ์ธรรมดาเพื่อจะดึงดูดกลุ่มลูกค้าได้อีกต่อไปแล้วครับ

ที่เราจะทำในวันนี้ผมอยากจะเรียกมันว่า “รวมความสนใจ” หรือ “combined interests” ครับผม

หน้าตาจะเป็นแบบนี้ครับ อันนี้คือที่ผมทำให้กับโฆษณาของผมตัวหนึ่งนะครับ

สิ่งที่ผมทำก็คือ “ผมเจาะจงหลายชั้นครับ”

  • เจาะจงคนที่ชอบเสื้อ t-shirt
  • ต้องมีความสนใจทำธุรกิจด้วย
  • ต้องติดตามเว็บ marketing oops ด้วย

เพราะอะไรครับ? ก็อย่างที่ผมบอกไปเลยครับว่าการทำโฆษณาส่วนใหญ่เราจะไปเจอคนที่ไม่ค่อยสนใจสินค้าของเราเท่าไหร่

อย่างใน Facebook ถ้าคุณเกิดเลื่อนๆดู feed เล่นๆแล้วเกิดไปเห็นคลิปไฟท์ของบัวขาวแบบนี้ครับ

แล้วคุณก็กดไลค์ไป Facebook ก็จะถือว่าคุณเป็นคนที่มีความสนใจเรื่อง “หมัดมวย” ครับผม ทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจเลยครับว่าคุณชอบมวยจริงหรือเปล่า

เพราะฉะนั้นผมเลยต้องเจาะจงหลายๆชั้นไว้ก่อนครับ ไม่งั้นจะเจอคนที่ไม่สนใจสินค้าเยอะ

Step #4: มาดูว่าตัว placements อันไหนที่จะเหมาะกับโฆษณาของคุณกันครับผมจริงๆแล้วผมไม่กล้าจะบอกนะครับว่าอันไหนดีที่สุดเพราะว่ามันขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายของคุณล้วนๆเลยครับ

แต่ผมอยากจะให้คุณได้ความรู้จากบทความนี้จริงๆ ผมเลยอยากจะบอกคร่าวๆให้คุณเข้าใจครับ

Facebook Feed: จะได้ผลมากที่สุดครับถ้าเทียบกับ placements อื่นๆ เพราะว่าคนที่อยู่หน้า feed ของเฟสบุ๊คจะไม่ชิวเท่ากับ Instagram ครับ

Instagram: จะได้ผลดีที่สุดเมื่อตอนที่โฆษณาหรือสินค้าของคุณถ่ายรูปขึ้นครับ เช่นเป็นอาหารหรืออะไรแบบนี้ครับ จะได้ผลดี แต่ถ้าเป็นอย่างอื่นจะไม่โอเคเท่าไหร่ครับ

Mobile VS. Desktop อันไหนดีกว่ากัน?

คนที่ทำโฆษณามาสักพักก็คงจะรู้นะครับว่า เจาะจงคนที่ใช้ Desktop จะได้ conversion ที่ดีกว่าอยู่แล้วครับ มันเป็นเพราะว่าคนที่ใช้มือถือหรือแท็บเลตส่วนใหญ่เข้าจะไม่ค่อยจริงจังตอนที่เล่นครับ อาจจะเล่นแก้เบื่อเฉยๆ ไม่ได้อยากจะซื้ออะไร

แต่ถ้าเป็นคนที่ใช้คอม เขาอาจจะกำลังมองหาอะไรอยู่ก็ได้ เช่น อยากจะหาซื้อเสื้อผ้า หรือ รถมือสองสักคน อะไรประมาณนี้ครับ พอเข้าใจใช่ไหมครับ?

หลังจากเลือกตัวนี้แล้ว เราก็มาตัวต่อไปเลยครับ

Step #4: ตอนนี้เรามาตั้งค่าตัว bidding กันครับ หลายๆคนไม่รู้ครับว่าต้องตั้งเท่าไหร่ดีถึงจะถูกต้อง เรามาดูกันเลยครับ

ตัว bidding นี้จริงๆแล้วมันค่อนข้างจะซับซ้อนกว่าที่เห็นนะครับ ถ้าผมจะพูดในบทความนี้ผมกลัวว่ามันจะยาวไปหน่อยครับ เพราะฉะนั้นถ้าอยากจะรู้ ให้คอมเม้นไว้นะครับแล้วผมจะมาเขียนให้อ่าน

ตอนที่คุณทำแรกๆ ไม่ต้อง set ตัว bidding นะครับ เพราะว่าถ้าคุณกำลังเริ่มใหม่อยู่ คุณไม่น่าจะทำเป็นครับ

หลายๆคนทำแล้วโฆษณาไม่รันเลยเพราะตั้งน้อยไป เราไม่รู้ได้แน่ชัดหรอกครับว่าจะได้เท่าไหร่ เพราะฉะนั้นปล่อยให้ Facebook ตั้งไปก่อนครับ แล้วค่อยมาเปลี่ยนทีหลัง

หลังจากนั้นก็กด “continue” (ต่อไป) เลยครับ แค่นี้ส่วนสำคัญในการสร้างโฆษณา Facebook ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยครับผม

วิธีการทำ “เจาะกลุ่มเป้าหมาย” ขั้นเทพ (ที่ใครๆก็ทำได้)

ก่อนอื่นเลยเราต้องมาเริ่มจากการเตรียมตัวก่อนครับผม นั้นก็คือต้องใช้ Facebook audience insights ให้เป็นประโยชน์ครับผม

มาดูกันครับว่าผมจะใช้ audience insights tool ยังไงให้ได้ผลดีและได้ไลค์ที่ราคาถูกๆ (แต่มีคุณภาพ) ได้ครับ

เข้าไปเช็คฐานข้อมูลของกลุ่มเป้าหมาย

อันดับแรกก่อนที่ผมจะทำโฆษณา ผมต้องเข้าใจก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายมีเยอะแค่ไหน เพราะว่าอย่างที่ผมเคยบอกไปครับว่าถ้ากลุ่มเป้าหมายเล็ก ค่าโฆษณาก็จะแพงไปด้วย

ผมลองใช้คำว่า “ physical exercise” เพื่อลองหาข้อมูลเบื้องต้นว่ากลุ่มเป้าหมายมันใหญ่แค่ไหนครับ

โห 10–15 ล้านนี้ก็เยอะพอสมควรเลยนะครับ (50% ของคนที่เล่น Facebook ในประเทศไทยน่าจะได้)

จะเห็นว่าส่วนใหญ่อายุตั้งแต่ 18–34 ปี หลังจากนั้นก็มีคนสนใจน้อยลงมาเรื่อยๆครับ

แต่ผมบอกไว้ก่อนเลยนะครับว่าเห็นมันคนเยอะแบบนี้ก็ใช่ว่าจะใช้คำนี้เจาะจงกลุ่มเป้าหมายได้เลยนะครับ เพราะว่าการเจาะจงกลุ่มเป้าหมายของ Facebook มันไม่ค่อยตรงเท่าไหร่ครับ เราต้องทำการบ้านเพิ่มนิดหน่อยครับ

เดี๋ยวผมแสดงให้ดูครับว่าทำไมคุณถึงไม่ควรจะเจาะจงคำว่า “physical exercise” ทั้งๆที่มีกลุ่มเป้าหมายเยอะเลย

เรามาดูกันที่เพจที่กลุ่มเป้าหมายคำว่า “physical fitness” ส่วนใหญ่ไปกดไลค์กันครับ

เห็นไหมครับว่าส่วนใหญ่ไม่ได้เกี่ยวกับการออกกำลังกายเลย เพราะฉะนั้นมันเป็นสัญญาณบ่งบอกอย่างชัดเจนเลยครับว่า “กลุ่มเป้าหมายกว้างเกินไป”

ทำไมถึงเป็นแบบนี้?

เพราะว่าระบบ Facebook มันทำงานแบบนี้ครับ ถ้าคุณเลื่อนๆลงมาใน feed ของคุณแล้วคุณเห็นรูปงูผูกโบว์ที่คอ แล้วคุณกดไลค์ แต่ไม่ได้คิดอะไร

แต่คุณรู้ไหมครับว่า Facebook จะจัดว่าคุณเป็นคนที่มีความสนใจเรื่องงูครับ เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะเจาะจงคนที่อยากจะซื้องูไปเลี้ยงหรืออะไรสักอย่าง ไม่ควรจะใช้คำว่า “snake” โดยตรงครับ เพราะจะไม่ได้กลุ่มเป้าหมายที่จริง

ตอนนี้เราก็รู้แล้วว่า คำว่า physical exercise ใช้ไม่ได้ผลครับ มันกว้างไป เรามาดูคำอื่นกันเลยดีกว่าครับ ว่าจะใช้คำว่าอะไรดี

ผมจะลองใช้คำว่า “muscle & fitness” ดูนะครับ มาดูกันครับว่าจะเป็นยังไง

จะเห็นครับว่าถึงแม้กลุ่มเป้าหมายจะน้อยกว่าก็จริง (7–8 แสน) แต่มาเพจที่คนส่วนใหญ่ไลค์กันครับ จะเห็นว่าส่วนใหญ่เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพและฟิตเนสครับ คำๆนี้ถือว่าผ่านถลุยไปเลยครับ

เรามาดูกันครับว่าจังหวัดส่วนใหญ่ที่กลุ่มเป้าหมายอยู่ อยู่ที่จังหวัดไหนกันแน่

เราจะเห็นนะครับว่าส่วนใหญ่อยู่ในเชียงใหม่กับกรุงเทพอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหาเลยครับเพราะว่ายิมของลูกค้าผมอยู่กรุงเทพอยู่แล้วครับ

ตอนนี้หลังจากที่เราได้ไอเดียแล้วว่าคำว่าๆ “muscle & fitness” โอเค ผมก็จะมาจดไว้ใน note ของผมครับ

ผมต้องทำแบบนี้อยู่อย่างน้อย 10 ตัวครับ ถึงจะใช้ได้ครับ ถ้าคุณกำลังทำตามอยู่ ผมแนะนำนะครับว่าลองทำให้เยอะที่สุดเท่าที่ทำได้ก่อน เพราะว่าคุณต้องลองทำให้ตัวของคุณชินกับการใช้ audience insights tool ก่อนครับ

จำไว้นะครับว่าเราไม่ได้ต้องการคนที่แค่ “ชอบฟิตเนส” เราต้องการคนที่ “คลั่งฟิตเนส” จริงๆครับ คนพวกนี้จะทำให้เราคุ้มเงินได้มากกว่าครับ เพราะว่าเขาจะสามารถมีโอกาสที่จะกลายเป็นลูกค้าได้ด้วย และถ้าเราโพสอะไร ก็จะมีโอกาสสูงที่เขาจะเข้ามามีส่วนร่วมด้วยครับ เช่น ไลค์ คอมเม้น แท็กเพื่อน อะไรแบบนี้ครับ

ถ้าเราได้คนพวกนี้มา เราจะสามารถสร้างแบรนด์ได้ยั่งยืนครับ ไม่ต้องห่วงว่าเขาจะกด “unlike” ถ้าเราโพสเยอะเกินแน่นอนครับ (นอกจากคุณเอาแต่จะขายของอย่างเดียว อันนี้ก็อีกเรื่องหนึ่งครับ ฮ่าๆ)

ทบทวนอีกครั้งนะครับ “ความสนใจ” ที่คุณจะเอาไปเจาะจงกลุ่มลูกค้าต้องมั่นใจก่อนว่า “5 เพจแรกที่เขากดไลค์เยอะที่สุดต้องเกี่ยวกับความสนใจนั้นๆครับ” เช่น ถ้าคุณเจาะจงคนที่ชอบท่องเที่ยว แล้ว 5 อันดับแรกที่เขากดไลค์คือร้านเฟอร์นิเจองี้มันก็ไม่ไหวครับ


ขั้นตอนการสร้างโฆษณา

เพราะว่าลูกค้าของผมค่อนข้างจะรีบครับ ผมก็เลยต้องรีบทำโฆษณาขึ้นมาเพราะไม่อย่างนั้นผมกลัวจะไม่ทันครับ

บางทีที่เราเห็นๆกันอยู่ว่า Facebook จะอนุมัติช้า ถ้าแม้อนุมัติไปแล้วบางทีโฆษณายังไม่รันเลยก็มีครับ ดังนั้นผมเลยต้องรีบทำหน่อย

การเลือกรูปโฆษณา

โฆษณาจะรุ่งหรือจะร่วงก็จะขึ้นอยู่กับรูปโฆษณาส่วนใหญ่เลยครับ เพราะว่าคนส่วนใหญ่จะเลื่อนผ่านทันทีครับ ถ้ารูปโฆษณาไม่น่าสนใจ

เพราะว่าตอนนี้มีโฆษณาที่แข่งกันเยอะครับ ไม่ใช่แค่โฆษณาอย่างเดียว คุณแข่งกับเพจที่เขาไปกดไลค์ รูปที่เพื่อนของเขาโพส และอะไรอีกเยอะแยะครับ

ก่อนอื่นเรามาดูกันครับว่าที่ผมไปศึกษามามีโพสอะไรบ้างที่ได้ผลและมีอะไรบ้างที่ไม่ได้ผล (สำหรับให้คนมีส่วนร่วมครับ ไม่ใช่ขายของนะครับ)

เราต้องทำการศึกษาก่อนครับว่ารูปแบบโพสแบบไหนที่กลุ่มเป้าหมายจะชอบ มาดูกันเลยครับ

รูปแบบโพสที่ “ได้ผล”

สำหรับคนที่ออกกำลังกาย ส่วนใหญ่เท่าที่ผมกับลูกทีมไปศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายก็คือ โพสที่ได้ผลดีที่สุดมีดังต่อไปนี้ครับ

  • โพสให้ความรู้
  • โพสตอบคำถาม

เรามาดูตัวอย่างกันครับ

อันนี้ผมไปเอามาจากเพจของคุณ Aa_Perawatch ครับผม ส่วนใหญ่คุณเอจะโพสอะไรอยู่ 2 อย่างครับ นั้นก็คือให้ความรู้กับตอบคำถามครับ แล้วบางทีก็อาจจะมีการใช้เรื่องราวของคนที่คุณเอ เทรนให้มาเพื่อสร้างแรงบรรดารใจให้กับแฟนเพจครับ

แต่โดยทั่วไปแล้วคุณเอเน้นไปที่การให้ความรู้ครับ

ผมเอาตัวอย่างอีกสัก 2 ตัวมาให้ดูครับ ตัวอย่างนี้ผมไป screenshot หน้าจอมาจากเพจ “Planforfit” มาครับ

เขาทำ infographic ได้สวยดีครับ ผมชอบ ฮ่าๆ

อีกอันหนึ่งครับ

ดูแล้วน่าสนใจใช่ไหมล่ะครับ ขนาดผมไม่ค่อยสนใจเรื่องการเล่นเวท ผมยังอยากจะอ่านเลยครับ ฮ่าๆ

รูปแบบโพสที่ “ไม่ได้ผล”

ที่ผมไปศึกษารูปแบบโพสที่ไม่ได้ผลส่วนใหญ่จะเป็นอะไรที่กลุ่มเป้าหมาย “ไม่ได้ประโยชน์” ด้วยครับ

ที่ผมไปสำรวจมา โพสที่ไม่ได้ผลมีดังนี้ครับ

  • โพสที่เกี่ยวกับโฆษณา (คนติดตามเขารู้ครับ)
  • โพสที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อหาของเพจ

เรามาดูตัวอย่างที่ผมได้มาจากคุณ A เลยครับผม

คุณจะเห็นครับว่าถึงแม้คุณ A จะเป็นคนที่ดังในแวดวงคนเล่นกล้ามแต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะโพสขายของแล้วจะได้ผลตอบรับที่ดี

ผมคิดว่าสาเหตุเพราะว่าคนที่ติดตามคุณ A ส่วนใหญ่เขาไม่ได้สนใจยาประมาณนี้ครับ แต่ถ้าเป็นพวกโปรตีนอาหารเสริมนี้ผมก็ไม่แน่ใจครับ คุณ A ต้องทดลองดู

อันนี้อีก 1 ตัวอย่างครับ

เห็นไหมครับว่า ถึงแม้คุณ A จะดังแต่ถ้าโพสอะไรที่ไม่ตรงกับเนื้อหาของเพจ ก็จะทำให้ engagement ตกได้เหมือนกันครับ

อย่าลืมนะครับว่าถ้าโพสแบบนี้บ่อยๆ Facebook จะลด “เข้าถึง” คนติดตามเพจครับ

ตอนนี้เราก็เข้าใจกันแล้วนะครับว่า ถ้าอยากจะได้คนเข้ามาไลค์เพจของลูกค้าผมเยอะๆ ต้องใช้รูปแบบโพสหรือโฆษณาแบบไหน ใช่ไหมครับ?

ลองคิดดูนะครับว่าถ้าคุณไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาเลย แล้วเอาทำโฆษณามั่วๆ ลองคิดดูครับว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง เสียตังโดยเปล่าประโยชน์จริงไหมครับ?

หลังจากที่ผมได้ข้อมูลมาทั้งหมดแล้ว ผมก็ส่ง “แนวทาง” การดีไซน์โฆษณาขึ้นมาให้กับกราฟฟิก ดีไซน์เน้อของผมครับ

ลูกค้าผมไม่มีเวลามาก ต้องการให้เสร็จภายใน 2 อาทิตย์ ผมเลยไม่อยากจะทดลองอะไรมากครับ สร้างโฆษณามาแค่ 3 ตัวเพื่อจะทดลองเท่านั้นครับ

หลังจากได้ดีไซน์อะไรหมดแล้วผมก็พร้อมแล้วครับที่จะลุย ผมอยากจะย้ำอีกรอบนะครับว่าถ้าคุณทำโฆษณา อย่าทำมาแค่ตัวเดียวนะครับ ทำมาอย่างน้อย 2 ตัวเพื่อเอามาทดลองกันครับว่าอันไหนได้ผลดีกว่ากัน แต่ถ้าคุณมีงบน้อยจริงๆ ก็ไม่ต้องห่วงครับ สร้างมาตัวเดียวก็พอครับ

เรามาขั้นตอนต่อไปที่น่าสนใจกันเลยครับ ฮ่าๆ

สร้างกลุ่มลูกค้าและการเจาะจง (audience targeting)

ตรงนี้สำคัญไม่แพ้กันครับ ไม่ว่าคุณจะมีรูปโฆษณาหรือเขียนโฆษณาที่ดีแค่ไหนถ้าคุณไปเจาะจงคนที่ไม่สนใจสินค้าของคุณ คุณก็ขายไม่ออกหรอกใช่ไหมครับ?

เพราะฉะนั้นตรงจุดนี้ผมจะลงรายละเอียดนิดหนึ่งนะครับ จะได้เข้าใจกันง่ายๆและสามารถทำตามได้เลยครับ

จำที่เราทำตอนแรกๆไปได้ไหมครับ ที่เราจด “ความสนใจ” ของกลุ่มเป้าหมายไว้ใน note ตอนนี้ได้ใช้แล้วครับ ฮ่าๆ

ตอนแรกหลังจากใส่ชื่อโฆษณาอะไรไปหมดแล้ว เรามาดูตรงนี้กันครับ เป็นส่วนสำคัญที่หลายๆคนยังทำผิดอยู่ครับ

  1. จังหวัดและพื้นที่ — ใส่แค่กรุงเทพเพราะว่าที่เราเห็นกันไปตอนแรกคือว่ากลุ่มเป้าหมายไปกระจุกอยู่ที่กรุงเทพที่เดียวถึง 37% เพราะฉะนั้นผมเลย target แค่กรุงเทพเท่านั้นครับ
  2. อายุ — อันนี้ไม่ต้องห่วงครับ ปล่อยให้ Facebook รันโฆษณาไปก่อนเลยครับ เราค่อยมาดูว่ากลุ่มไหนได้ผลดีที่สุดแล้วค่อยเปลี่ยนทีหลัง กฎของการทำโฆษณาคืออย่าคิดไปเองครับ ให้ข้อมูลและตัวเลขเป็นคนบอกดีกว่า
  3. เพศ — เหมือนกับอายุครับอย่าไปเดาว่าเพศหญิงหรือชายใครจะสนใจโฆษณาคุณมากกว่ากัน ผมเคยเจอสินค้าบางตัวอย่างแหวนงี้อะครับ คิดว่าจะไม่มีผู้ชายซื้อแต่ก็มีเยอะจนน่าตกใจเลยครับ
  4. ภาษา — อันนี้ก็เหมือนกันครับ อย่าไปห่วงเพราะเราไม่รู้ครับว่ากลุ่มลูกค้าของเราตั้ง Facebook ให้เป็นภาษาอะไร นอกจากคุณจะ target คนที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย อันนั้นก็ว่ากันอีกทีหนึ่ง

เหตุผลที่ผมเจาะจงทั้งกรุงเทพ ไม่ใช่แค่ในพื้นที่ใกล้ๆกับยิมเพราะว่าผมต้องการใช้กลุ่มเป้าหมายใหญ่ครับแล้วราคามันจะถูก อีกอย่างยิมนี้เป็นยิมที่มีหลายสาขาครับ เพราะฉะนั้นเลยไม่มีปัญหา

แล้วเลื่อนลงมา แล้วจะมาเจาะจงที่ตัวนี้เป็นพิเศษครับผม ผมจะเอาสิ่งที่ผมจดเอาไว้มาลงเลยนะครับ เรามาดูกันครับว่ามันจะออกมาเป็นยังไง

เราจะเห็นว่าเราได้กลุ่มเป้าหมายของเราในจังหวัด “กรุงเทพมหานคร” มีถึง 2,600,000 คนครับ ซึ่งถือว่าเยอะมากครับ อาจจะเยอะเกินไปด้วยซ้ำครับ

เหมือนที่ผมบอกไปครับว่าถ้าเราเจาะจงกลุ่มเป้าหมายแบบนี้ เราจะไปเจอคนที่ “ไม่ค่อยสนใจ” การออกกำลังกายสักเท่าไหร่ อาจจะแค่กดไลค์เฉยๆครับ เพราะฉะนั้นเราเลยต้องทำให้มันเล็กลงครับ

เราจะทำยังไงงั้นเหรอครับ? เราต้องเอาความสนใจมารวมกันครับ (interest intersection) ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆครับ

กลุ่มเป้าหมายของคุณ

  • ต้องชอบการยกน้ำหนัก
  • ต้องชอบกินคลีนด้วย
  • ต้องชอบเล่นคาดีโอ

เป็นต้นครับ ถ้ากลุ่มเป้าหมายของคุณชอบแค่อันใดอันหนึ่ง เขาจะไม่เห็นโฆษณาของคุณครับ เขาต้องชอบ “ทั้ง 3 อย่าง” ครับ พอจะเข้าใจไหมครับ?

ตามผมมาเลยครับ ผมจะทำให้ดูแล้วจะอธิบายไปด้วยให้ละเอียดที่สุดทำที่จะทำได้นะครับ

ต่อจากข้างบนเลยนะครับ กดตรงคำว่า “narrow audience” เพื่อจะทำให้เป้าหมายของคุณแคบลงมาอีกครับ เพื่อจะได้รวม keyword ความสนใจได้ครับ

หลังจากที่ผมกดคำว่า “narrow audience” เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายของผมแคบลง คุณจะเห็นครับว่าตอนนี้จำนวนกลุ่มเป้าหมายของผมเหลืออยู่แค่ 1,500,000 ครับ ถือว่ากำลังดีครับ แต่ก็ยังกว้างไปอยู่ดี ผมอยากจะให้มันไม่เกิน 500,000 ครับ

ผมเลือกแบบนี้เพราะว่าผมต้องที่จะเจาะจงคนที่กำลังเรียนอยู่ครับ เพราะว่าคนพวกนี้ส่วนใหญ่จะมีเวลาเล่น Facebook เยอะครับ แล้วจะชอบเข้ายิมยกน้ำหนักด้วย

หนึ่งในเหตุผลที่ผมเลือกที่จะเจาะจงคนที่กำลังเรียนอยู่ก็เพราะว่าผมไปศึกษาว่าคนที่กดไลค์โพสของคุณ A เขาเป็นคนประมาณไหน ส่วนใหญ่เป็นคนที่กำลังเรียนอยู่ทั้งนั้นเลยครับ

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเงินโฆษณาแบบเปล่าประโยชน์ ผมเลยเลือกเจาะจงแต่คนที่เรียนอยู่ครับ

ผมอยากจะให้กลุ่มเป้าหมายของผมแคบที่สุดเท่าที่จะทำได้และให้โฆษณาที่ผมยิงไปโดนคนที่สนใจการออกกำลังกายจริงๆครับ ผมเลยตัดสินใจ “ทำให้กลุ่มเป้าหมายแคบลง” อีกครับ

ครั้งนี้ผมคิดว่าใครๆก็ออกกำลังกาย “ส่วนใหญ่” เขาอยากจะโชว์เพศตรงข้ามครับ อยากสวย อยากหล่อใช่ไหมล่ะครับ? เพราะฉะนั้นผมเลยอยากจะเจาะจงคนพวกนี้ด้วยครับ

แต่ตอนนี้กลุ่มเป้าหมายของผมยังอยู่ในจำนวนที่ว่ายังมากไปอยู่ดีครับ ผมจะทำให้แคบลงมาอีกชั้นหนึ่งครับ เพื่อที่จะให้ตัวเลขอยู่ที่ประมาณ 500,000 ครับ

ผมก็เลยทำให้มันแคบลงมาอีกครับ ผมเจาะจงคนที่ “ชอบกินอาหารคลีน” หรือกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพครับ

เพราะว่าคนพวกนี้ส่วนใหญ่เขาจะจริงจังกับการออกำลังกายมากครับ

โอเคครับตอนนี้เราได้ targeting ของเราเรียบร้อยแล้วครับ แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณอยากจะกลับมาใช้ targeting นี้อีกเมื่อไหร่ อย่าลืมกดบันทึก targeting นี้เอาไว้นะครับ

หลายๆทีผมลืมกด ผมนี้อยากจะบ้าตาย นั่งศึกษาอยู่นาน สุดท้ายต้องทำใหม่ 555+

อย่าลืมลง Facebook Pixel ในเว็บของคุณ

อย่างที่ผมบอกไปตอนต้นครับว่า Facebook Pixel สำคัญมากๆ ให้เอาไปใส่ในเว็บของคุณซะนะครับ ถ้าไม่รู้ว่าใส่ยังไง ผมจะทำให้ดูคร่าวๆก่อนนะครับ จะได้เข้าใจตรงกัน

เจ้าตัว Facebook pixel มันหน้าตาแบบนี้ครับ

วิธีสร้างและลง Facebook Pixel ด้วยตัวเอง

สำหรับคนที่ยังไม่เป็น ผมจะมาสอนการสร้างและลง Pixel ด้วยตัวเองครับผม มันง่ายๆครับ ไม่ต้องทำอะไรมาก เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ

Step 1: ตอนแรกให้เข้าไปที่ Ad manager ครับ แล้วจะเจอหน้าต่างแบบนี้ครับ แล้วก็กดตรงนี้ครับ

Step 2: แล้วคุณจะเห็นตัวนี้ครับ กดคำว่า “pixel” เลยครับ

Step 3: แล้วเราจะมาสร้าง Pixel ด้วยการกดปุ่มนี้ต่อเลยครับ

Step 4: คุณจะเจอ 3 ตัวเลือกครับ ให้เลือกตัวตรงกลางครับเพราะว่ามันเป็นอะไรที่ง่ายที่สุดครับ (ผมไม่ค่อยเก่ง coding เท่าไหร่ด้วย ฮ่าๆ)

Step 5: สำหรับคนที่ไม่ได้ใช้ WordPress ให้ copy โค้ดตัวนี้แล้วเอาไปใส่ใน <header> ในเพจ Index ของคุณเลยครับ

Step 6: สำหรับคนที่ใช้ WordPress มาดูทางนี้กันครับ เข้าไป copy เลขตัวนี้แทนครับ ไม่ต้องไปยุ่งยากกับ code ครับ

Step 7: จากนั้นก็หา plugin ฟรีที่จะสามารถช่วยคุณใส่เลขได้ง่ายๆครับ ใช้คำว่า “Facebook Pixel” แล้วมันก็จะขึ้นมาเยอะแยะไปหมดเลยครับ เลือกตามสบายเลย

Step 8: หลังจากนั้นก็เอาเลขมาใส่ตรงนี้แล้วก็กด “save changes” หรือ เซฟข้อมูล ก็เป็นอันที่เรียบร้อยแล้วครับ

Step 9: จากนั้นก็รอสักพักครับ แล้วถ้าทุกๆอย่างเสร็จแล้ว มันก็จะออกมาเป็นหน้าตาแบบนี้เลยครับ

แค่นี้ก็เป็นอันที่เรียบร้อยครับสำหรับการสร้างและลง Facebook Pixel มันไม่ค่อยจะมีอะไรยุ่งยากเท่าไหร่ครับ เพราะ Facebook รู้ว่าคนส่วนใหญ่เขียนโค้ดไม่เป็น (รวมทั้งผมด้วย ฮ่าๆ)

หลังจากนี้เรามาดูข้อต่อไปกันเลยครับ นั้นก็คือการทำรูปโฆษณา Facebook ด้วยตัวเองครับ ถ้าคุณไม่อยากจะเสียเงินจ้างกราฟฟิค ดีไซน์เนอร์


ทำรูปโฆษณา Facebook (ฟรี) ทำยังไง มาดูกัน

ส่วนตัวผมตอนเริ่มแรกๆผมไม่ค่อยมีงบเยอะสักเท่าไหร่ครับ แล้วผมเป็นคนที่เชื่อว่าถ้าอยากจะทำธุรกิจอะไร ต้องทำทุกๆอย่างในธุรกิจให้ได้ด้วยตัวเองก่อนที่จะจ้างคนอื่น ผมเลยชอบไปหาอุปกรณ์ตัวช่วยมาทำครับ

ตอนนี้การทำรูปโฆษณา Facebook ไม่ยากแล้วครับ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ไม่ค่อยมีอุปกรณ์มารองรับสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้มีเยอะมากครับ

แต่ตัวที่ผมชอบจริงๆมีอยู่แค่ตัวเดียวครับ นั้นก็คือ Canva ครับผม ไม่ต้องห่วงครับ มากับผม ผมเน้น “ฟรี” ไว้ก่อนครับ ฮ่าๆ

มาลุยกันเลยครับ

Step #1: อันดับแรกให้เข้าไปที่เว็บของ Canva ก่อนครับ แล้วคุณจะเห็นเพจนี้เลยครับผม

แล้วก็กดปุ่มนี้เพื่อเริ่มทำไปพร้อมๆกับผมเลยครับ ตอนกดเข้าไปเขาจะให้คุณสมัครนิดหน่อยครับ แต่ไม่มีปัญหาสมัครง่ายมากครับ

คุณสามารถสมัครโดยการใช้บัญชีของ gmail หรือ Facebook คุณก็ได้ครับ

Step 2: Canva จะถามคำถามคุณนิดหน่อยเพื่อจะได้ช่วยเลือก template โฆษณาให้คุณได้ครับ

Step 3: เลือกเสร็จแล้วก็จะมาหน้านี้เลยครับ หน้านี้คุณจะสามารถเลือก template ได้ครับว่าจะใช้ตัวไหนที่เหมาะกับโฆษณาของคุณ ลองเลื่อนดูเล่นๆนะครับ ดูว่าอันไหนถูกใจคุณที่สุดครับ

Step 4: เมื่อเลือก template เรียบร้อยแล้วก็ลองแต่งรูปดูครับ ผมเป็นคนดีไซน์ไม่เก่งเท่าไหร่ ได้ออกมาหน้าตาแบบนี้ครับ ฮ่าๆ

Step 5: หลังจากตกแต่งอะไรเรียบร้อยแล้วก็กด “download” เลยครับ แล้ว Canva จะถามว่าอยากจะเอา file นามสกุลอะไร ผมแนะนำให้เลือก PNG ครับ จากนั้นก็กด “download” เลยครับผม

แค่นี้ก็เป็นอันที่เสร็จเรียบร้อยครับ เรามาดูกันเลยดีกว่าครับว่าที่ผมทำไปมันเป็นหน้าตาออกมาเป็นยังไงตอนโหลดมาเสร็จเรียบร้อยแล้ว

ไฟล์สำเร็จออกมาเป็นแบบนี้!


คำถามเกี่ยวกับโฆษณา Facebook ที่เจอบ่อย

เราใกล้จะมาถึงตอนสุดท้ายของบทความนี้กันแล้วครับผมเลยอยากจะเอาคำถามที่ผมเจอบ่อยๆและคำตอบ (ของผม) มาให้คุณอ่านครับ

ผมหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์นะครับผม

คำถามที่ #1: โฆษณาใน Facebook ราคาเท่าไหร่?

อันนี้ขึ้นอยู่กับว่าคุณโฆษณาอะไรและโฆษณาของคุณตั้งมาดีแค่ไหนครับ ส่วนใหญ่ถ้า CTR (คลิก) ได้เยอะ โฆษณาก็จะถูกไปด้วย มันราคาตั้งแต่ ฿0.10 ไปจนถึง ฿20 ต่อคลิกหรือไลค์เลยครับ

คำถามที่ #2: กลุ่มเป้าหมายกว้างแค่ไหนถึงจะดี?

มันขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมายของคุณครับ แต่ผมอยากจะแนะนำว่าอย่างน้อยๆต้องได้อย่างน้อย 150,000 คนครับ

เพราะว่าถ้ากลุ่มเป้าหมายยิ่งเล็กเท่าไหร่ ราคาโฆษณาก็จะแพงไปด้วยครับ

คำถามที่ #3: ????? ถามผมได้ในคอมเม้นเลยครับ

ตาคุณเอาไปลองแล้วครับ!

ผมหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณได้ไปลองทำโฆษณา Facebook ได้แบบไม่ต้องเสียเงินเยอะครับ อย่างที่ผมบอกไปครับว่าการโฆษณาไม่ได้จำเป็นว่าต้องแพงเสมอไป แพงแล้วก็ไม่ได้เแปลว่าจะดีเสมอไปด้วยครับ

ส่วนใหญ่มันขึ้นอยู่กับการที่คุณจัดสันงบประมาณและการบ้านที่คุณทำมาก่อนที่จะเริ่มทำโฆษณาครับ

สิ่งที่ผมอยากจะย้ำเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะจบบทความนี้ก็คือ

  1. คุณต้องใช้ Facebook pixel— เพราะว่าโฆษณาใน Facebook ส่วนมากคุณจะเจอคนที่ไม่ใช่กลุ่มลูกค้าที่แท้จริงของคุณครับ คุณต้องให้ Facebook Pixel ช่วยเก็บข้อมูลว่าใครที่เป็นกลุ่มลูกค้าที่แท้จริงของคุณได้
  2. คุณต้องใช้ Facebook remarketing— การทำ remarketing เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้คุณทำกำไรเยอะๆได้จากโฆษณา Facebook ครับ เพราะฉะนั้นถ้าคุณยังไม่รู้ว่าจะทำ remarketing ยังไง คุณต้องเรียนรู้ครับผม

สำหรับวันนี้ผมขอจบบทความนี้ไว้เท่านี้ก่อนแล้วกันนะครับ ถ้ามีคำถามอะไรก็ถามผมได้ในคอมเม้นเลยนะครับ

ผมมีคำถามจะมาถามคุณครับ

“ ปัญหาในการทำโฆษณา Facebook ของคุณคืออะไร?”

ความเห็น

Get the best of The Finth in your inbox.

You may opt-out anytime by clicking “unsubscribe” from the newsletter or from your account. Contact The Finth at any time.